การตรวจสุขภาพประจำปี (ต่อ)
การตรวจสุขภาพจะมีการตรวจอะไรบ้างเรามาดูกันครับ
การตรวจเลือด (Blood Analysis)
1. ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด(CBC) ทำให้ทราบปริมาณของเม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดเเดงเเละเกร็ดเลือดได้ ทำให้ทราบว่ามีโรคซีด โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือเกร็ดเลือดผิดปกติหรือไม่
2. ตรวจหาหมู่เลือด(ABO Blood Group) ก่อน การให้เลือดทุกครั้ง ต้องมั่นใจว่าหมู่เลือดผู้ให้เเละผู้รับตรงกัน การทราบหมู่เลือดมีประโยชน์หากมีกรณีฉุกเฉิน ต้องได้เลือดเป็นการด่วน
3. ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด( FBS) ทำ ให้ทราบว่ามีเบาหวาน หรือเริ่มมีน้ำตาลในเลือดสูงก่อนการเป็นเบาหวานเเล้วหรือยัง ซึ่งทุกคนควรตรวจหาเบาหวานเมื่ออายุ 45 ปีขึ้นไป หรือถ้ามีปัจจัยเสี่ยงเช่น อ้วน มีญาติสายตรงเป็นเบาหวาน มีประวัติเป็นเบาหวานในขณะตั้งครรภ์ มีไขมันในเลือดสูง ควรตรวจระดับน้ำตาลในเลือดที่อายุน้อยกว่า 45 ปี
4. ตรวจการทำงานของตับ(AST,ALT,ALP)เพื่อดูความผิดปกติของตับเเละทางเดินน้ำดี เช่น ถ้ามีเอมไซม์ตับสูงเเสดงว่ามีตับอักเสบ เป็นต้น
5. ตรวจการทำงานของไต(BUN,Cr) เพื่อดูว่ามีโรคไตหรือไม่ ถ้าค่าสูงเเสดงว่าไตทำงานผิดปกติ
6. ตรวจโรคเก๊าท์(uric acid)หาก มีกรดยูริคในเลือดสูง ต้องระวังโรคเก๊าท์ ซึ่งเป็นโรคที่มีอาการปวดข้อ จากการที่มีผลึกยูเรตในข้อเเละทำให้เกิดการอักเสบตามมา ผู้ที่มีกรดยูริค ในเลือดสูง ควรต้องหลีกเลี่ยงการดื่มอัลกอฮอล์ งดรับประทานสัตว์ปีกเเละหลีกเลี่ยงผักบางชนิด เช่นกระถิน สะตอ ชะอม เป็นต้น
7. ตรวจไขมันคลอเลสเตอรอล(Cholesterol) ถ้าสูงจะเป็นสาเหตุของโรคเส้นเลือดเเดงตีบ เช่น เส้นเลือดหัวใจตีบ เส้นเลือดสมองตีบ เป็นต้น การทราบว่ามีไขมันในเลือดสูง ทำให้ผู้ป่วยปรับเปลี่ยนอาหาร เเละออกกำลังกาย เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงจากโรคข้างต้น
8. ตรวจไขมันไตรกลีเซอไรด์(Triglyceride) ถ้าสูงมากจะเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคเส้นเลือดเเดงตีบเช่นกัน เเละอาจเป็นสาเหตุของโรคตับอ่อนอักเสบได้
9. ตรวจหาไขมันที่ดี(HDL) เป็น ไขมันชนิดที่ดีมีประโยชน์ ช่วยพาไขมันที่อยู่ตามผนังเส้นเลือดเข้าสู่ตับ ไขมันชนิดนี้ถ้าสูงจะลดความเสี่ยงที่มีเส้นเลือดเเดงตีบลงได้
10. ตรวจหาไขมันที่ชนิดไม่ดี(LDL) เป็นไขมันที่ก่อให้เกิดโรคเส้นเลือดเเดงตีบ
11. ตรวจไวรัสตับอักเสบบี(Hepatitis B Virus) ทำให้ทราบว่าติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือไม่ ซึ่งเป็นสาเหตุที่สำคัญของมะเร็งตับ ถ้ายังไม่พบเชื้อเเละไม่มีภูมิต้านทาน ควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกัน ถ้าติดเชื้อเเล้วเเละมีภาวะตับอักเสบเรื้อรังควรปรึกษาเเพทย์เพื่อรับยาต้าน ไวรัส ซึ่งจะลดภาวะตับอักเสบ เเละลดความเสี่ยงโรคมะเร็งตับ
12.ตรวจไวรัสตับอักเสบซี(Hepatitis C Virus) ทำ ให้ทราบว่าติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีหรือไม่ ซึ่งเป็นอีกสาเหตุหนึ่งของมะเร็งตับ โรคไวรัสตับอักเสบซีนี้สามารถหายขาดได้ โดยการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสม
13. ตรวจกามโรค(VDRL) หาเชื้อซิฟิลิส เพื่อป้องกันการติดต่อไปสู่บุตร สามีเเละภรรยา
14. ตรวจมะเร็งตับ(AFP) เป็นการตรวจหาสารที่บ่งชี้ว่ามีมะเร็งตับหรือไม่ ซึ่งข้อมูลจะครบถ้วนเมื่อตรวจอัลตราซาวน์ตับร่วมด้วย
15. ตรวจมะเร็งลำไส่ใหญ่(CEA) เป็นการตรวจหาสารที่บ่งชี้ว่ามีมะเร็งลำไส้ใหญ่หรือไม่ ซึ่งข้อมูลจะครบถ้วน เมื่อตรวจเอ็กซ์เรย์สำไส้(Barium enema) หรือส่องกล้องลำไส้(Colonoscopy) ร่วมด้วยร่วมด้วย
16. ตรวจมะเร็งต่อมลูกหมากในเพศชาย(PSA) เป็น การตรวจหาสารที่บ่งชี้ว่ามีความผิดปกติของต่อมลูกหมากหรือไม่ ถ้าค่าสูงเล็กน้อยอาจเป็นโรคต่อมลูกหมากโต เเต่ถ้าค่าสูงมาก ต้องระวังมะเร็งต่อมลูกหมาก
ตรวจปัสสาวะ(UA) เพื่อตรวจหาความผิดปกติทางระบบปัสสาวะ เช่น โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ โรคนิ่ว เเละโรคไตอื่นๆ
การตรวจอุจจาระ (Stool Examination) ตรวจหาพยาธิชนิดต่างๆ เลือดออกในทางเดินอาหาร การติดเชื้อในลำไส้
การตรวจด้วยเครื่องมือพิเศษ (Special Examination)
1. เอ็กซ์เรย์ปอด(Chest x-ray) เป็นการตรวจเพื่อวินิจฉัยโรคปอดเเละโรคหัวใจ
2. ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ(EKG) เป็นการตรวจดูความผิดปกติของจังหวะการเต้นของหัวใจ หัวใจโต เส้นเลือดหัวใจตีบ ฯลฯ ซึ่งเป็นการตรวจที่ง่าย สะดวก ไม่เจ็บปวด
3. ตรวจสมรรถภาพของหัวใจ(EST:exercise stress test) เป็นการตรวจโดยการเดินบนสายพานเลื่อนที่มีคอมพิวเตอร์ควบคุม ซึ่งจะตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เเละวัดความดันโลหิตไปพร้อมกัน เพื่อวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ หัวใจเต้นผิดจังหวะ
4. ตรวจอัลตราซาวด์ช่องท้อง( Ultrasound Abdomen)เป็น การตรวจอวัยวะในช่องท้องโดยการใช้หลักการสะท้อนของคลื่นเสียง เเสดงเป็นภาพอวัยวะช่องท้องให้เห็นบนจอภาพ ทำให้เห็นความผิดปกติของตับ ม้าม ตับอ่อน ไต ต่อมหมวกไต มดลูก รังไข่ เเละอื่นๆ เเต่ไม่สามารถบอกความผิดปกติของอวัยวะที่เป็นกระเพาะ ลำไส้ได้
5. เอ็กซ์เรย์ลำไส้(Barium Enema) เป็นการเอ็กซเรย์โดยใช้การสวนเเป้ง เพื่อตรวจหาความผิดปกติของลำไส้ใหญ๋
6. ตรวจมะเร็งปากมดลูกด้วยThin prep เป็น วิธีการใหม่ล่าสุดที่นำมาใช้ในการตรวจหาเซลล์ผิดปกติจากปากมดลูกและในช่อง คลอด ข้อมูลการศึกษาวิจัยจากสถาบันทั่วโลกพบว่า การตรวจด้วยวิธีใหม่นี้ ให้ผลดีกว่าการตรวจแบบเก่าประมาณร้อยละ 65 ในสหรัฐอเมริกาและหลายๆ ประเทศ ได้มีการเปลี่ยนแปลงโดยนำตินเพร็พ มาตรวจหาเซลล์มะเร็งจากปากมดลูก แทนวิธีการตรวจแป๊ปเสมียร์แบบเก่า เนื่องจากตินเพร็พ (ThinPrep) ใช้อุปกรณ์เฉพาะ เก็บตัวอย่าง ป้ายนำเยื่อบุผิวจากบริเวณปากมดลูก และนำเซลล์ตัวอย่างที่เก็บมาได้ทั้งหมดใส่ลงในขวดน้ำยา เพื่อรักษาเซลล์ ซึ่งจะทำให้ได้เซลล์ตัวอย่างครบถ้วน แล้วนำเข้าเครื่องอัตโนมัติในการเตรียมเซลล์บนสไลด์แก้ว จะมีการกำจัดสิ่งปนเปื้อนของมูก เซลล์เม็ดเลือด หรือลดการซ้อนทับกันของเซลล์ที่หนาแน่นเกินไป ทำให้เพิ่มโอกาสในการตรวจพบความผิดปกติที่มีอยู่ได้ดียิ่งขึ้น
7. ตรวจมะเร็งเต้านมด้วยmammogram เป็นการตรวจหาก้อนในเต้านมโดยใช้เครื่องมือพิเศษ ควรตรวจในสุภาพสตรีที่อายุมากกว่า 35 ปีขึ้นไป
8. ตรวจความหนาเเน่นของมวลกระดูก(Bone Mineral Density) เพื่อตรวจหาความเสี่ยงของกระดูกหักเเละเป็นเครื่องมือที่ใช้วินิจฉัยโรคกระดูกพรุน
9. การตรวจส่องกล้องกระเพาะ(Gastroscopy) เพื่อหาความผิดปกติในกระเพาะอาหาร เช่น แผลในกระเพาะอาหาร มะเร็งในกระเพาะอาหาร เป็นต้น
10. การตรวจส่องกล้องลำไส้(Colonoscopy) เพื่อหาความผิดปกติในลำไส้ใหญ่ เช่น เนื้องอกในลำไส่ใหญ่ เลือดออกในลำไส้ใหญ่ เป็นต้น
11. การถ่ายภาพรังสีโดยอาศัยคอมพิวเตอร์ หรือ CT Scan(Computed tomography) เป็น การตรวจทางการแพทย์ด้วยคลื่นเอกซ์เรย์ สามารถสร้างภาพตามแนวตัดและแนวขวาง 3 มิติของอวัยวะที่ต้องการตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ โดยใช้คอมพิวเตอร์ความละเอียดสูงในการแปลงสัญญานภาพ คุณภาพของภาพจะชัดเจนกว่าการตรวจอัลตร้าซาวน์
12.การสร้างภาพด้วยเรโซแนนซ์แม่เหล็ก หรือ MRI (Magnetic Rasonance Imaging) คือการตรวจร่างกายโดยเครื่องตรวจที่ใฃ้คลื่นสนามแม่เหล็กความเข้มสูงและ คลื่นความถี่ในย่านความถี่วิทยุ ในการสร้างภาพเหมือนจริงของอวัยวะต่างๆของร่างกายด้วยคอมพิวเตอร์รายละเอียด และความคมชัดสูง เป็นภาพตามระนาบได้ทั้งแนวขวาง แนวยาวและแนวเฉียง เป็น 3 มิติ ภาพที่ได้จึงจะชัดเจนกว่า การตรวจเอกซ์เรย์คอมพิวเตอร์ แบบ CT Scan ทำให้แพทย์สามารถตรวจวินิจฉัยความผิดปกติในร่างกายได้อย่างแม่นยำ การตรวจทางการแพทย์ด้วยเครื่องมือชนิดนี้ไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดใดๆ แก่ร่างกาย และไม่มีอันตรายจากรังสีตกค้าง แต่อาจมีผลทางความรู้สึกต่อผู้กลัวที่แคบ
**** ทั้งหมดนี้ก็เป็นลักษณะของการตรวจสุขภาพเบื้องต้นนะครับ เพื่อหาความผิดปกติต่างๆของร่างกายก่อนการเกิดโรค เพื่อเป็นการป้องกันอีกทางหนึ่งครับ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น